วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

หนีกรุงทิ้งเงินเดือนประจำ มาทำการเกษตร รับรายได้งาม 20,000บาท/เดือน ที่ชัยภูมิ

จากพนักงานกินเงินเดือนอาชีพเย็บผ้า ที่มีรายได้กว่าหมื่นบาท/เดือน แต่เพราะตนเองนั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจากโรคประจำตัว ‘อนงค์ บุญจิต’ จึงได้พลิกผันตัวเองออกจากงานประจำในเมืองหลวง มุ่งสู่บ้านเกิด บ้านทรัพย์รวงไทร ต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ โดยหวังสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ พอเลี้ยงตนเองในแบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการทำเกษตรกรรม ด้วยยึดในหลัก “ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก”

เพียงเพราะไม่ต้องการอยู่อย่างว่างงาน แต่แล้วการผันตัวเองมาทำอาชีพเกษตรกรรมกลับเป็นอาชีพใหม่ของเธอที่สร้างรายได้เลี้ยงตนเองได้เสมือนกับทำเงินเดือนจากเริ่มต้นจนปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ20,000บาท แถมสุขภาพก็ดีขึ้นจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติในแบบไร่นาสวนผสมที่เธอก่อร่างสร้างมันขึ้นมากับมือ




คุณอนงค์บุญจิต เกษตรกรหญิงมือใหม่ที่ไม่ย่อท้อต่ออาชีพเกษตรกรรม เล่าถึงที่มาที่ไปของการความสำเร็จแบบพอเพียงในการทำไร่นาสวนผสมให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่ตนจะหันมาจับอาชีพเกษตรกรรมอย่างจริงจัง ตนทำงานอยู่ในตัวเมืองชัยภูมิในอาชีพเย็บผ้า ซึ่งขณะนั้นก็มีรายได้หลักหมื่นบาท/เดือน แต่ด้วยตนเองเป็นมีประจำตัวจึงทำให้สุขภาพไม่ดี เหนื่อยง่าย แม้ว่าตนจะเป็นคนที่ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอก็ตาม ทั้งเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดสารพิษ ออกกำลังกาย แต่ก็ช่วยแค่พอทุเลาและทำงานได้ไปวันๆ ด้วยสาเหตุตรงนี้ครอบครัวและสามีจึงให้ลาออกจากงานมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน




ซึ่งการกลับมาพักฟื้นอยู่บ้านตนก็ไม่อยากจะอยู่เฉยๆจึงมองอาชีพใหม่นั่นก็คือการทำเกษตรกรรม ซึ่งตนมองว่าแม้จะเป็นอาชีพที่ดูแล้วน่าจะเหนื่อยไม่แพ้อาชีพอื่นอย่างแน่นอน แต่ตนก็เลือกที่จะลองทำดู ด้วยเหตุผลที่ว่าตนอยากบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ สารเคมีตกค้าง หากตนได้ปลูกพืชอาหารไว้รับประทานเองก็น่าจะช่วยให้สุขภาพของตนดีขึ้นอย่างแน่นอน ตนจึงขอพื้นที่ของคุณตา ซึ่งเป็นพื้นที่นา และพื้นที่สวนมะม่วงที่ถูกปลูกไว้ให้เทวดาเลี้ยงมาเป็นเวลานาน จำนวน 5 ไร่ เพื่อลองทำไร่นาสวนผสมตามแบบอย่างของในหลวง




หลังจากได้พื้นที่มาก็เริ่มปรับพื้นที่ในส่วนของที่นาเก่าให้เป็นสวนผสมโดยเริ่มจากปลูกกล้วยและปรับปรุงบำรุงดินไปพร้อมๆกัน พอดินเริ่มดีขึ้นเราก็นำพืชอาหารทุกอย่างไปปลูกไว้ ซึ่งตนนั้นได้เลือกพืชอาหารที่ตนชอบรับประทานและพืชผักสวนครัวที่จำเป็นต้องรับประทานเป็นประจำมาปลูกไว้ จากนั้นก็ขุดสระน้ำไว้สำหรับใช้ในสวน พร้อมทั้งเลี้ยงปลาเบญจพรรณหลากชนิด และเลี้ยงไก่ไข่ไว้สร้างรายได้อีกส่วนหนึ่ง ในส่วนของสวนมะม่วงตนก็ตัดแต่งกิ่งและทำสาวใหม่ให้กับมะม่วง และดูแลบริหารจัดการในแบบปลอดสารพิษ เน้นการทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง




คุณอนงค์ บอกว่า ปัจจุบันในพื้นที่ 5 ไร่ตรงนี้ ประกอบด้วยมะม่วง 100 กว่าต้น มีสวนแก้วมังกร ผักหวานป่า กล้วย มะนาว โหรพา ต้นชะพลูฯ มีไก่ไข่ 60 ตัว และบ่อปลา โดยในส่วนของผลผลิตผักส่วนมากจะมีแม่ค้ามาเก็บถึงสวน หากมีจำนวนมากเหลือพอก็นำไปขายในตลาดของหมู่บ้านพร้อมกับไข่ไก่ และปลา และจากผลผลิตทั้งหมดทำให้มีรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ยังไม่หักต้นทุน แต่มีต้นทุนในการผลิตที่น้อยมาก

แต่นอกจากรายได้จากการขายผลผลิตในสวน 5 ไร่ แล้ว ตนยังมีรายได้รายปีจากพื้นที่ปลูกอ้อยอีก 20 ไร่ และมันสำปะหลังอีก 12 ไร่ ซึ่งก็ทำให้นอกจากจะมีรายได้เฉลี่ยตลอดทั้งปีแล้ว ยังมีรายได้รายปีไว้เป็นเงินเก็บออมอีกด้วย


คุณอนงค์ บอกอีกว่า “เหตุผลที่ตนเลือกที่จะปลูกในสิ่งที่ตนเองกิน นอกจากจะได้ความสดใหม่และไม่มีสารเคมีตกค้าง เพราะเราเลือกที่จะทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติพึ่งพาธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งยังช่วยลดรายในครอบครัวของตนลงไปได้เป็นอย่างมาก แถมสุขภาพที่เคยแย่ทำงานหนักก็เหนื่อย ก็กลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในภาพรวมสิ่งที่ได้จากอาชีพนี้ก็คือความสุขกาย สุขใจ กับอาชีพของตนเอง จากที่เริ่มทำเกษตรกรรมโดยยึดหลัก “ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก” มาขณะนี้เราก็เริ่มมองเรื่องการค้าแล้วว่าตลาดมีความต้องการอะไร เราก็นำสิ่งนั้นมาปลูกเสริมเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัวในระยะยาวต่อไป”




คุณอนงค์ เล่าต่อว่า การทำไร่นาสวนผสมผสานของเธอปีนี้เป็นปี 4 โดยตนนั้นเริ่มมีรายได้จากสิ่งที่ปลูกตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแต่ยังไม่มากนัก จนกระทั่งปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเต็มพื้นที่ แต่กว่าที่ตนจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ในครั้งแรกที่ตนตัดสินใจจะทำสวนนั้นก็ถูกคัดค้านจากคนในครอบครัวและสามีอยู่พอสมควร เพราะเขาเห็นว่าตนนั้นป่วยคงไม่มีแรงที่จะทำตรงนี้อย่างจริงจัง และเขาก็ไม่คาดหวังด้วยว่าเราจะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้

แต่ด้วยความดื้อรั้นและรู้ตนเองว่าหากเราได้มีโอกาสใช้ธรรมชาติเยียวยาชีวิตของเรา โรคภัยต่างๆ ก็จะทุเลาลงได้จริง จากอาหารการกินที่ปลอดสารพิษ สารเคมีตกค้าง จึงทำให้ชีวิตในวันนี้ของตนมีสุขาภาพที่ดีขึ้นมาก ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าตื่นเช้าจะเข้าสวนเก็บผลผลิต ดูแล รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสัตว์เช่นนี้ทุกวันก็ตาม






“และแม้ว่าความสำเร็จจะแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและเวลาแต่สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่ากับชีวิตอย่างยั่งยืน แต่ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง ปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานยังสถานที่ต่างๆ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้นเป็นหน่วยงานที่เข้ามาให้ความรู้และสนับสนุนเงินทุนในการขุดสระน้ำ พร้อมกับพาไปดูงานสถานที่ประสบความสำเร็จ ตนจึงได้มาปรับใช้ให้เข้ากับรูปแบบของตนและบริหารจัดการสวนอย่างเป็นระบบ จนประสบความสำเร็จในรูปแบบพอเพียง ที่จะช่วยทำให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง”




จากความสำเร็จของหญิงแกร่งแห่งบ้านทรัพย์รวงไทร ต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ของ ‘อนงค์ บุญจิต’ ที่กล้าจะคิดจะทำอย่างมั่นใจ ทำให้วันนี้พื้นที่ 5 ไร่ของเธอ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นตัวอย่างให้อีกหลายๆ คนได้นำไปปฏิบัติได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียว สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการเดินทางมาศึกษาดูงานสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-7256-9938

ขอบคุณ www.kapook.com

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

ขายผักหวาน-ไข่มดแดง สร้างรายได้วันละ 1,000 บาท

รายงานว่า ตลอดเส้นทางถนนสายหลัก อ.ท่าปลา อ.น้ำปาด ไปยังเขื่อนสิริกิติ์ และตลาดการค้าชายแดนไทย – ลาว อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ กลุ่มพ่อบ้านแม่บ้านสร้างเพิงไม้ไผ่ เพื่อเป็นแหล่งขายของป่าชั่วคราว

เริ่มเข้าสู่หน้าแล้ง ชาวบ้านไม่สามารถทำการเกษตรได้ เนื่องจากเป็นชุมชนอยู่ตามเชิงเขา และเป็นเช่นนี้มานานนับ 10 ปี และกลายเป็นตลาดแหล่งขายผักหวาน ไข่มดแดง โดยตรงจากชาวบ้าน และแหล่งใหญ่ของ จ.อุตรดิตถ์

โดยปีนี้เน้นเทคนิคเก็บและสอยแบบสด ๆ มาวางขายเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่า ได้ของสดใหม่จริง ๆ มีการแบ่งขาย ไม่จำเป็นต้องซื้อเป็นกิโลกรัม เช่น ผักหวานกองละ 40 บาท 3 กอง 100 บาท จากกิโลกรัมละ 300 บาท ไข่มดแดงก็เช่นเดียวกัน จนสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านที่หาของป่ามาวางขายในช่วงนี้ บางคนมีรายได้มากถึงวันละกว่า 1,000 บาท



นางสุมาลี ผัดวันดี แม่ค้าขายผักหวานไข่มดแดง กล่าวว่า เนื่องจากช่วงนี้เข้าสู่หน้าแล้ง ทำการเกษตรไม่ได้ จึงไปทำอาชีพเสริมหาผลผลิตจากป่า เช่น ผักหวานและไข่มดแดง นำมาวางขายสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก โดยสามีจะเข้าป่าแต่เช้ามืด หาผักหวาน และสอยไข่มดแดงมาวางขายกันแบบสด ๆ มีรายได้จากการขายผักหวาน และไข่มดแดงคนละเกือบหมื่นบาทต่อเดือน แต่รายได้ดังกล่าว ก็จะมีช่วงสั้น ๆ เพียง 2 – 3 เดือน ระหว่างเดือน ก.พ. ถึงเดือน เม.ย. เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://money.sanook.com/550087/

ยุโรปกำลังฮิต! 'ผงจิ้งหรีด' ปรุงอาหาร ชี้มีโปรตีนสูง

ยุโรปกำลังฮิต! 'ผงจิ้งหรีด' ปรุงอาหาร ชี้มีโปรตีนสูง
จิ้งหรีดเป็นแมลงที่มีโปรตีนสูงและกำลังเป็นที่ต้องการของกลุ่มประเทศแถบยุโรป ล่าสุดมีฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดที่เป็นระบบปิดนำจิ้งหรีดที่เลี้ยง แปรรูปเป็นผงและส่งออก พร้อมทั้งจับมือกับร้านอาหารนำผงจิ้งหรีดไปเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร เช่น เส้นพาสต้า, เส้นสปาเกตตี้สด, ขนมปังบราวนี่ เหล่านี้เป็นอาหารที่ เชฟเจ ได้นำผงจิ้งหรีดไปเป็นส่วนผสม โดยเชฟบอกว่า รสชาติอาหารแทบไม่รู้เลยว่าทำมาจากผงจิ้งหรีด






ซึ่งผงจิ้งหรีดที่เชฟเจนำมาทำอาหาร เป็นผงจิ้งหรีดที่ได้จากการเลี้ยงจิ้งหรีดในฟาร์มปิด ของบริษัทเอกชนที่คนไทยได้ร่วมทุนกับชาวต่างชาติ เปิดฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดพันธุ์สะดิ้ง ฟาร์มนี้ส่งขายทั้งเป็นแบบตัว ๆ และแปรรูปเป็นผงจากจิ้งหรีดตัวเป็น ๆ 4 กิโลกรัม นำไปแปรรูปเป็นผงได้ 1 กิโลกรัม โดยผงจิ้งหรีดขายกิโลกรัมละ 1,500 บาท

หนึ่งในผู้ร่วมทุน เผยว่า ผงจิ้งหรีดกำลังเป็นที่ต้องการจากลูกค้าอย่างมาก มีออเดอร์มารอแล้วกว่า 30 ตัน ซึ่งเชื่อว่าความต้องการที่สูงจะเป็นโอกาสของเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดที่มีความพร้อม คาดว่าจิ้งหรีดจะเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการรอให้ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรเเละอาหารเเห่งชาติ หรือ มกอช. สร้างมาตรฐาน หลักการปฏิบัติฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีด หรือ GAP ให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า จิ้งหรีดที่ส่งไปขายได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย

ดูต้นฉบับได้ที่ https://money.sanook.com/550853/

สร้างสวนมะพร้าวเงินแสน ด้วยฮอร์โมนไข่ ที่กันทรวิชัย

ลุงอ่ำ ศรีหาบุญ อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 151 หมู่ที่ 15 บ้านหัวขัว ตำบลท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โทร. (087) 992-9886 จากพ่อค้าตลาดนัด มาปลูกมะพร้าวน้ำหอม มีรายได้หลายแสน ไม่เพียงพอกับความต้องการ

ลุงอ่ำ บอกว่า มีพื้นที่นา 9 ไร่ 1 งาน ปี 2542 ได้ซื้อมะพร้าวน้ำหอมจากนครชัยศรีมาปลูกจำนวน 50 ต้น ในระหว่างนั้นได้ไปขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดในจังหวัดต่างๆ 15 วัน จึงกลับบ้านครั้งหนึ่ง ไม่ค่อยได้ดูแล เหลือมะพร้าวอยู่ 30 ต้น และไม่ออกดอกติดผล

ต่อมาได้สูตรฮอร์โมนไข่ มารดที่ยอดของมะพร้าว ปรากฏว่าทำให้ออกดอกติดผลดี จนมีความคิดที่จะปลูกมะพร้าวน้ำหอมมากขึ้น ปี 2552 ได้เริ่มปรับพื้นที่ ทำร่องจีน ทำในรูปแบบไร่นาสวนผสม ทำการเกษตรหลายอย่าง ได้แก่ ทำนา 2 ไร่ 2 งาน ปลูกมะพร้าวน้ำหอมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีกว่า 500 ต้น ปลูกฝรั่ง 200 ต้น ข่า 100 กอ และผักอื่นๆ

สูตรฮอร์โมนไข่ ส่วนผสม ไข่ไก่ 15-18 ฟอง แป้งข้าวหมาก 1/4 ก้อน กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม ยาคูลท์ 1 ขวด นำส่วนผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน คนเช้าและเย็นทุกวัน ประมาณ 15 วัน นำไปใช้ได้

สูตรฮอร์โมนหน่อกล้วย โดยตัดหน่อกล้วยจากต้น (เหง้าที่อยู่ติดดิน ความยาวจากโคนไม่เกิน 1 เมตร) ตัดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จำนวน 3 กิโลกรัม กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม สารเร่ง พด.2 จำนวน 1 ซอง ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 7 วัน นำมาปั่นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำ 40 ลิตร

การใช้กับมะพร้าว นำน้ำฮอร์โมนหน่อกล้วย 5 ช้อนแกง ผสมกับฮอร์โมนไข่ ผสมน้ำ 20 ลิตร รดยอดมะพร้าว ต้นละ 1 ลิตร ใช้กับพืชผัก 2 ช้อน ต่อน้ำ 20 ลิตร ฝรั่ง 3-4 ช้อน ต่อน้ำ 20 ลิตร รดทุก 15 วัน

ลุงอ่ำ บอกว่า เหตุผลที่ปลูกมะพร้าวน้ำหอมคือให้ผลเร็ว เพียง 2 ปี 8 เดือน ขายผลสดที่สวน ลูกละ 12 บาท ไม่พอขาย ผลอ่อนสามารถทำไอศกรีม ทำขนม ทำน้ำตาลสด มะพร้าว 1 ต้น จะทำรายได้ 700-1,000 บาท ต่อปี

ท่านที่เคารพครับ !!! จะเห็นว่า มะพร้าวน้ำหอมเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ทำรายได้อยู่ในระดับน่าพอใจ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรพิจารณาทำการเกษตรหลายๆ อย่างเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ลดความเสี่ยงทางด้านการตลาดและราคา หนึ่งในนั้นอาจเป็น มะพร้าวน้ำหอม อย่างลุงอ่ำ ก็ไม่เลวครับ


อำพน ศิริคำ
ข้อมูล นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

หนุ่มหัวใส ใช้ที่สวนยางของชาวบ้าน ปลูกพืชระยะสั้นหลากชนิด ทำรายได้ปีละ 5 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้มีเกษตรกรหนุ่มแหวกแนวความคิดไม่เหมือนใคร ปลูกพืชเกษตรระยะสั้น สับปะรด กล้วยหอมทอง เมล่อน ในพื้นที่สวนยางพารา อายุ 1- 4 ปี ของชาวบ้าน โดยดูแลสวนยางพาราขณะปลูกผลไม้ให้เจ้าของสวนยางพาราแค่เข้ามาใส่ปุ๋ยตามเวลาเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ปลูกไปแล้ว 350 ไร่ ในพื้นที่ตำบลโคกยาง อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่



นายสุวิทย์ บุญประสพ หนุ่มชาวสวนวัย 36 ปีใน ม.9 ต.เขาพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ จบปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีการผลิต มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต กล่าวว่า หลังจากเรียนจบออกมามุ่งมั่นที่จะทำการเกษตร เนื่องจากทางบ้านมีอาชีพทำสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน แต่ไม่ใช่การปลูกยางพาราและปลูกปาล์มน้ำมัน โดยหันมาปลูกพืชทางการเกษตรระยะสั้น อย่างกล้วยหอมทอง สับปะรด เมล่อน ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

นายสุวิทย์ กล่าวว่า ตนได้ใช้พื้นที่สวนยางพาราที่มีอายุ 1- 4 ปี ของชาวบ้าน ในพื้นที่ ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง โดยจะดูแลสวนยางพาราขณะปลูกพืช ซึ่งได้ดำเนินการในลักษณะนี้มาแล้วเป็นเวลา 2 ปี โดยปลูกสับปะรด พันธุ์ภูเก็ต 5 แสนต้น ในพื้นที่ 150 ไร่ จำหน่ายในราคาส่งลูกละ 9-10 บาท ตามไซซ์ของสับปะรด ทำรายได้อยู่ที่ 4 ล้านบาทต่อปี และปลูกกล้วยหอมทอง 150 ไร่ ขายกิโลละ 13-15 บาท โดยสามารถตัดขายครั้งละประมาณ 40,000 บาท นอกจากนั้นยังปลูกเมล่อน พันธุ์หยกเทศ และซันสวีท ในโรงเรือนจำนวน 5 โรงเรือน ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ในราคากิโลละ 150 บาท ตกเดือนละ 2 แสนบาท ทำให้มีรายได้ขณะนี้ปีละ 5 ล้านบาท



นายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นยังส่งเสริม แนะนำให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่สนใจ ปลูกพืชระยะสั้นภายในสวนยางพารา เพื่อเป็นรายได้เสริม โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลาง รับซื้อสินค้าทางการเกษตรจากชาวบ้าน เพื่อส่งจำหน่ายให้อีกทอดหนึ่ง นอกจากนั้นยังรับจ้างปลูกพืชระยะสั้น เช่น สับปะรด กล้วยหอม มะละกอ ฯลฯ ให้กับเจ้าของพื้นที่ที่สนใจแต่ขาดประสบการณ์ ในราคาเป็นกันเองอีกด้วย

ที่มา https://money.sanook.com/342317/

ยกระดับสินค้าเกษตร...ปลูกมะนาว ส่งขายร้านกาแฟ รายได้ 20,000 บาท/เดือน

การมีฝนตกน้อย หรือไม่ตกต้องตามฤดูกาลเป็นระยะเวลานาน กระทั่งทำให้เกิดสภาวะการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นสาเหตุให้พืชพรรณต่างๆ ได้รับผลกระทบแล้ว ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตไม่สมบูรณ์ เกิดความเสียหายทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม สิ่งเหล่านี้อาจเรียกได้ว่า วิกฤติภัยแล้ง

แนวทางหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาคือ การทำเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งการปลูกพืชหลายชนิดรวมกัน การเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนถึงการแปรรูปพืชผลทางการเกษตร และที่ผ่านมามีชาวบ้านหลายพื้นที่ทั่วประเทศยึดแนวทางนี้จนประสบความสำเร็จ บางรายมีการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
เกษตรปากท่อ พาไปพบชาวบ้าน ที่ทำสวนผสมผสานได้สำเร็จ



คุณสมศักดิ์ พุทธพฤกษ์ เกษตรอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี พาไปพบ คุณวิเชียร บุญรอด อยู่บ้านเลขที่ 147 หมู่ที่ 6 ตำบลยางหัก อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จจากการปลูกพืชไม้ผลหลายชนิดแบบผสมผสาน

อีกทั้งภายในสวนยังนำวัวมาเลี้ยงจำนวนกว่า10ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากมูลในการทำปุ๋ยผสมดิน และปุ๋ยน้ำฉีดพ่น หรือถ้าบริเวณใดมีหญ้าขึ้นรกจะปล่อยวัวเข้าไปแทะเล็มเพื่อกำจัดหญ้า จึงทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีกำจัด ถือเป็นการช่วยลดต้นทุน ตลอดจนมีการขุดบ่อเก็บกักน้ำทางธรรมชาติเพื่อใช้กับพันธุ์ไม้หลายชนิด ทั้งหมดนี้ดูจะเป็นการเกื้อกูลกันทางธรรมชาติเป็นอย่างดี

ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน เงาะ มะม่วง กล้วย และมะนาว ล้วนแต่มีผลผลิตที่ได้คุณภาพ เป็นที่ยอมรับของตลาด

แต่ที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษคือ การปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ได้ผลผลิตจำนวนมาก เป็นผลผลิตที่มีคุณภาพทั้งขนาด รสชาติ และปริมาณน้ำ จนกระทั่งเป็นที่สนใจของร้านกาแฟชื่อดังในปั๊ม สั่งมะนาวผลจำนวนมากเพื่อนำไปทำเป็นชามะนาว

เปลี่ยนหาเงินจากปลูกข้าว มาเป็นสวนผสมผสาน มีรายได้ดีกว่า

คุณวิเชียร เริ่มต้นอาชีพเกษตรกรรมด้วยการทำนา และทำไร่ข้าวโพดกับมันสำปะหลัง ภายหลังประสบปัญหาราคาผลผลิตลดลงมาก ทำแล้วไม่คุ้มทุน จึงเลิกแล้วหันไปปลูกปาล์มน้ำมัน เนื้อที่ 28 ไร่ จำนวน 500 กว่าต้น กระทั่งปาล์มมีอายุเข้าปีที่ 3 จึงสามารถเก็บผลผลิตได้ โดยนำไปขายแถวหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี ที่มีระยะทางห่างจากสวน ประมาณ 30 กิโลเมตร โดยขายได้ราคากิโลกรัมละ 4.50 บาท ซึ่งถือว่าพออยู่ได้

ขณะปลูกปาล์มยังมีเวลาว่างอีก คุณวิเชียรมองว่า ต้องหาอะไรทำเพื่อสร้างรายได้เสริม จึงตระเวนไปหาความรู้การปลูกพืชและไม้ผลชนิดอื่น ที่มีแนวโน้มว่าสามารถสร้างเม็ดเงินได้โดยไม่ต้องเสี่ยงมาก

ปลูกมะนาวได้ผลเกินคาด ส่งขายร้านกาแฟดังในปั๊ม เพื่อทำชามะนาว

เกษตรกรรายนี้ไปสนใจมะนาวที่ใส่ตะกร้าวางขายในตลาดนัด ราคา 150 บาท จึงทำให้เขาเกิดความคิดที่จะปลูกมะนาว ได้ไปเสาะหาพันธุ์แป้นพิจิตรมาปลูก ด้วยเหตุผลเพราะให้น้ำมาก เป็นที่ต้องการของตลาด โดยทดลองปลูกในสวนปาล์มระหว่างร่อง จนประสบความสำเร็จสามารถขายได้ราคา ผลละ 4-5 บาท จากนั้นจึงนำพันธุ์มะนาวแป้นพิจิตรมาปลูกเพิ่มอีกในแปลงมันสำปะหลัง เป็นการปลูกในวงบ่อซีเมนต์ จำนวนทั้งสิ้น 500 ต้น ปลูกมาแล้วกว่า 4 ปี

คุณวิเชียร ปลูกมะนาวด้วยความใส่ใจมาก คุณวิเชียรแทบจะไม่ได้ใช้สารเคมีในกระบวนการปลูกเลย แต่จะใช้ปุ๋ยหมักที่เป็นมูลวัว และเศษพืชผสมเองแทน โดยในแต่ละปีใช้จำนวนพันกว่ากระสอบ พร้อมไปกับการหมักปุ๋ยน้ำเพื่อใช้ฉีดพ่นด้วย ซึ่งได้ทำเช่นนี้มาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว คุณวิเชียรมองว่า การใช้สารเคมีมีอันตรายทั้งต่อผู้ปลูกและผู้บริโภค

พร้อมทั้งให้น้ำ 2-3 วัน ต่อครั้ง โดยดูจากความเหมาะสมของสภาพดินฟ้าอากาศประกอบ ทั้งนี้ ส่วนผสมดินที่ปลูก มี ขี้วัวหมักปุ๋ย ใส่ขี้วัวกับดิน โดยใช้ขี้วัว จำนวน 2 ถุง กับดิน 1 รอง ให้คลุกเคล้าปนกัน ปลูกไปเป็นเวลา 8 เดือน แล้วให้รดน้ำอย่างเดียว พอใกล้เก็บผลจึงใส่ขี้วัวอีกครั้ง
ผลจากการปลูกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำปัจจัยการปลูกที่เป็นอินทรีย์ล้วนเช่นนี้ จึงทำให้มะนาวเพียงต้นเดียวให้ผลผลิตได้ถึงกว่า 300 ผล แล้วถ้าหากราคามะนาว ผลละ 5 บาท จะได้เงินจำนวน 1,500 บาท ต่อต้น เพราะฉะนั้นรายได้ที่เกิดขึ้นเพียงต้นเดียวได้เงินค่ากับข้าวแล้ว ยิ่งถ้าเก็บผลผลิตมะนาวทั้งสวนจะมีรายได้เท่าไร??

การปลูกมะนาว จำนวน 500 ต้น ของคุณวิเชียร ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 200,000 บาท โดยจำแนกคร่าวๆ อย่าง ค่าวงบ่อซีเมนต์ ราคาใบละกว่า 200 บาท ค่ากิ่งพันธุ์ที่ซื้อมา กิ่งละ 150 บาท แล้วเป็นค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อีก
จากแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรให้ประหยัดต้นทุนมากที่สุด เพราะนั่นหมายถึงผลกำไรที่เกิดขึ้น จึงทำให้คุณวิเชียรตัดสินใจปลูกต้นไผ่เพื่อนำลำไผ่มาใช้สำหรับค้ำต้นมะนาว ทั้งนี้ ได้เลือกเป็นไผ่ที่รับประทานหน่อได้ เพราะสามารถนำไปขายได้อีก กระทั่งพอต้นไผ่มีอายุมากจึงตัดมาใช้งาน เพราะถ้าไปซื้อ ราคา ลำละ 15 บาท
ด้วยคุณภาพของมะนาวแป้นพิจิตรในสวนแห่งนี้ ที่เจ้าของสวนการันตีถึงขนาดผล ปริมาณน้ำ และรสชาติ เพราะสามารถนำไปปรุงอาหารหรือแปรรูปได้อย่างคุ้มค่า จึงเป็นที่ต้องการของตลาดลูกค้าหลายประเภท ทั้งรายย่อยที่สั่งจองกันตลอดต่อเนื่อง หรือแม้แต่รายใหญ่ขาประจำที่ต้องส่งให้เดือนละหลายพันผล
“อย่างถ้าขายส้มตำ ปกติแม่ค้าจะใช้มะนาว ครกละ 2 ผล แต่ถ้าใช้มะนาวที่ปลูกในสวนแห่งนี้เพียง 1 ผล สามารถทำส้มตำได้ถึง 2 ครก จึงประหยัดต้นทุนได้มาก อีกทั้งหากนำไปใช้ในร้านอาหารก็คุ้มค่าแล้ว สร้างความอร่อยให้แก่อาหารจานนั้นด้วย
แต่ลูกค้าขาประจำที่น่าสนใจ คงเป็นร้านขายกาแฟชื่อดังที่ตั้งอยู่ในปั๊มขนาดใหญ่ ร้านนี้นำไปใช้ทำชามะนาว ซึ่งลูกค้ารายนี้ ขายส่งกันมาได้ 1 ปีกว่า ส่งมะนาวอาทิตย์ละครั้ง จำนวน 1-2 พันกว่าผล ราคาส่งอยู่ที่ 4-5 บาท แต่ในบางคราวเพียง 2 วัน ก็โทรศัพท์มาสั่งแล้ว”

ไม่เพียงเท่านั้น ครอบครัวบุญรอด ยังมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าด้วยการนำผลมะนาวบรรจุใส่ถุงใสอย่างดี แล้วทำเป็นของฝาก วางขายที่ร้านกาแฟชื่อดังแห่งเดียวกันด้วย โดยจำหน่ายราคา ถุงละ 50 บาท อันนี้เป็นราคาช่วงปกติ แต่ถ้าช่วงมะนาวแพง อาจต้องจำหน่ายราคา ถุงละ 100 บาท
นอกจากรายได้จากการขายผลมะนาวสดแล้ว คุณวิเชียรยังทำกิ่งพันธุ์มะนาวจำหน่าย ในราคากิ่งละ 70-100 บาท คุณวิเชียรชี้ว่า เมื่อต้นโตสูงขึ้น แทนที่จะตัดให้เสียเปล่า ควรเลือกกิ่งที่มีขนาดเหมาะสมเพื่อขยายพันธุ์ แล้วยังบอกต่อว่า ถ้าต้นพันธุ์ที่ปลูกมีคุณภาพให้ผลผลิตได้อย่างดีแล้ว กิ่งพันธุ์จะต้องมีคุณภาพเช่นกัน
คุณวิเชียรไม่ใช่เกษตรกรที่มุ่งปลูกแล้วขายผลผลิตอย่างเดียวแต่คุณวิเชียรยังทำหน้าที่เป็นพ่อค้าในเวลาเดียวกันด้วยทั้งนี้คุณวิเชียร ชี้ว่าผู้ปลูกควรศึกษาความต้องการของตลาดควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในอีก 5-6 ปี ข้างหน้า มะนาวที่ปลูกรุ่นแรกจะถูกย้ายออก เพื่อปล่อยให้ต้นทุเรียนซึ่งได้ปลูกอยู่แล้วระหว่างต้นมะนาวพร้อมเจริญเติบโตเต็มที่ โดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา และเป็นทุเรียนอีกรุ่นที่ตระเตรียมไว้ พร้อมกับเงาะนาสาร จำนวน 300-400 ต้น
ไม่เพียงเท่านั้น คุณวิเชียรยังปลูกไม้ผลชนิดอื่นแล้วได้คุณภาพอีก อย่าง มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบที่มีขนาดผลใหญ่มาก ปลูกกล้วยน้ำว้าที่มีเครือใหญ่หลายหวี หรือแม้กระทั่งกำลังซุ่มเพาะ-ขยายต้นมะนาวไร้เมล็ดเพื่อส่งออกขายต่างประเทศ
คุณสมศักดิ์กล่าวว่าสวนคุณวิเชียรนับเป็นแหล่งผลิตพืช ผัก ไม้ผลที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่คุณวิเชียรเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น ใส่ใจต่ออาชีพ แล้วยังชอบศึกษาหาความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตรอยู่ตลอดเวลา แล้วยังเป็นต้นแบบที่ดีต่อชุมชน
“อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเชื่อถือและศรัทธาในฐานะผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นอกจากนั้น ยังทำหน้าที่เป็นกรรมการทำปุ๋ยหมักของชุมชน ทั้งนี้ โดยรวมกลุ่มเกษตรกรทั้งหมดไปทำปุ๋ยกันที่หน้าโรงเรียนยางคู่ เป็นกองปุ๋ยขนาดใหญ่แล้วนำมาบรรจุใส่กระสอบแจกจ่ายชาวบ้านทุกหลังคาเรือน”
ผลสำเร็จที่เกิดจากความตั้งใจรวมถึงความซื่อสัตย์ต่ออาชีพตลอดจนเป็นคนที่วางแผนการเพาะปลูกพืชไม้ผลอย่างเป็นขั้นตอนโดยจะไม่ปล่อยให้มีช่วงเวลาว่างเลยแม้แต่นิด เปรียบเหมือนกับการวิ่งผลัด ที่มีการรับช่วงต่อกันโดยไม่ขาดตอน จึงทำให้ครอบครัวบุญรอดมีรายได้ผ่านมือตลอดทุกวัน เมื่อถามถึงรายได้ต่อเดือนแล้ว คุณวิเชียรแย้มว่า ตกเดือนละประมาณ 20,000 บาท หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว
สนใจสั่งซื้อผลผลิตทางการเกษตร หรือกิ่งพันธุ์มะนาวที่มีคุณภาพ ได้ที่ คุณวิเชียร บุญรอด โทรศัพท์ (087) 156-5956

ติดตามข่าวสารอื่นๆได้ที่
http://www.facebook.com/Khaosodfarm
www.technologychaoban.com
ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา/นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

สงขลาเพาะเห็ดหลินจือแดง กิโลละ1,700 บาท

เกษตรกรสงขลา เพาะเห็ดหลินจือแดง โลละ 1,700 บาท เตรียมส่งเสริมสร้างรายได้เสริมจากปลูกยางพารา - พืชผักแบบเดิม ๆ


การเพาะเห็ดหลินจือแดงในระดับเกษตรกรรายย่อยยังมีน้อยมาก เพราะการดูแลค่อนข้างละเอียดกว่าเห็ดชนิดอื่น ๆ แต่มีเกษตรกรใน จ.สงขลา ที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเห็ดหลินจือแดง และทำมาแล้วถึง 2 รุ่น เกษตรกรรายนี้คือ นายฟูชัย เยี่ยมรักชาติ อายุ 72 ปี หรือ ครูชัย เป็นอดีตอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่งหนึ่ง

ซึ่งปัจจุบันได้ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว โดยเฉพาะการเพาะเห็ดหลินจือแดง ในพื้นที่หมู่ 7 บ้านฉลุง ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำเองทุกขั้นตอนแบบครบวงจร ตั้งแต่ผลิตก้อนเชื้อ การผสมหัวเชื้อ และการดูแล โดยใช้โรงเรือนขนาด 8 x 10 เมตร ในการเพาะเห็ดซึ่งรองรับได้ประมาณรุ่นละ 1,500 ก้อน ส่วนหัวเชื้อเห็ดหลินจือแดงจะสั่งมาจากศูนย์โครงการพระราชดำริที่ จ.ฉะเชิงเทรา ผลผลิตที่ได้ก็จะส่งขายกลับไปที่ศูนย์แห่งนี้ในราคากิโลกรัมละ 1,700 บาท

ครูชัย บอกว่า การเพาะเห็ดหลินจือต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การผลิตก้อนเชื้อ การผสมหัวเชื้อ และการดูแลในโรงเรือน ซึ่งจะต้องควบคุมอุณหภูมิให้คงที่อยู่ที่ประมาณ 25-28 องศา ซึ่งสำคัญมาก เพราะเป็นอุณภูมิที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของเห็ดหลินจือ หากต่ำหรือสูงกว่านี้การเติบโตก็จะชะงัก โดยในโรงเพาะเห็ดของตนจะใช้ระบบน้ำหยดจากท่อพีวีซีในการควบคุมอุณภูมิให้คงที่ เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ตั้งแต่เพาะเชื้อ และย้ายมาเลี้ยงดูแลในโรงเรือน ก็สามารถเก็บผลผลิตเห็ดหลินจือแดงขายได้ ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 2 และได้เห็ดหลินจือที่มีคุณภาพส่งขายกิโลกรัมละ 1,700 บาท โดยนำมาตากแห้ง 3 แดด แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ก่อนส่งขาย

ครูชัย ยังบอกว่าอีกว่า ต่อไปจะส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยในหมู่บ้านใกล้เคียง นำก้อนเห็ดหลินจือแดงที่ผลิตได้ไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างอาชีพ และรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมากและเพียงพอกับความต้องการของตลาด ผู้ที่สนใจศึกษาเรียนรู้ได้ที่ 063-8542751


ชาวประมงพื้นบ้านสงขลา รวมตัวตั้งกลุ่มฟาร์มทะเล เลี้ยงกุ้งก้ามกรามด้วยวิธีธรรมชาติ ขายได้ราคาดี

ชาวประมงพื้นบ้านสงขลา รวมตัวตั้งกลุ่มฟาร์มทะเล เลี้ยงกุ้งก้ามกรามด้วยวิธีธรรมชาติ ขายได้ราคาดี

กลุ่มชาวประมงพื้นที่บ้านในพื้นที่ ต.ตะเครี๊ยะ อ.ระโนด จ.สงขลา ประมาณ 100 คน รวมตัวกันตั้งกลุ่มฟาร์มทะเล และทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติ โดยใช้พื้นที่ทะเลสาบสงบบริเวณหมู่ 1 หมู่3 และหมู่4 ในการทำฟาร์มกุ้งกรามกราม เป็นลักษณะของฟาร์มที่ไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการนำไม้มาปักล้อมเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมเนื้อที่ประมาณ 200 เมตร ทำในลักษณะของบ้านปลาคือเอาท่อนไม้หรือกิ่งไม้มาวางไว้คล้ายกับปะการังเทียมในทะเล เพื่อให้เป็นที่อาศัยของกุ้งก้ามกราม และยังมีผลพลอยได้จากสัตว์น้ำอื่นๆ ที่เข้ามาอาศัยอยู่โดยโดยเฉพาะปลา



ทั้งนี้กุ้งก้ามกรามจะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3 เดือนก็สามารถจับขายได้เฉลี่ย 1-2 กิโลกรัมต่อกระชัง ราคาแล้วแต่ขนาดตั้งแต่กิโลกรัมละ 900 บาท 600 บาท และ 400 บาท มีพ่อค้าแม่ค้ามาสั่งจองและรับซื้อถึงฟาร์ม สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกเดือนละ 6,000 – 7,000 ต่อครอบครัวเลยทีเดียว

ด้านนายสุนทร ทองดีนุ้ย อายุ 63 ปี ประธานกลุ่มฟาร์มทะเล เปิดเผยว่า การตั้งฟาร์มเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเขตฟาร์มทะเล เป็นการเลี้ยงกุ้งเชิงอนุรักษ์ เนื่องจากมีการตั้งกฎกติกา หากใครมาทำประมงในเขตฟาร์มทะเล และจับกุ้งก้ามกรามที่กำลังมีไข่ จะต้องนำมาปล่อยในฟาร์มเลี้ยงกุ้งก้ามกราม และหากกุ้งก้ามกรามตัวเล็กเกินไปจะต้องปล่อยกลับคืนสู่ทะเลเพื่อเป็นการขยายพันธุ์กุ้งก้ามกรามในทะเลสาบสงขลาให้เพิ่มขึ้นด้วย
ขอขอบคุณที่มา https://money.sanook.com/490193/

ทำสวนทุเรียน ขายผ่านตลาดออนไลน์สร้างรายได้ 2 เท่า

หนุ่มปริญญาโท พลิกชีวิตมาเป็นเกษตรกรทำสวนทุเรียนที่สงขลา เน้นการตลาดผ่านสื่อออนไลน์สร้างรายได้ 2 เท่า

นายสุเชาว์ บัวสาย อายุ 32 ปี เกษตรกรหนุ่มรุ่นใหม่ หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านการบัญชี และปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจการเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็พลิกผันชีวิตลงมาเป็นเกษตรกรชาวสวนทุเรียนเต็มตัว โดยสานต่อจากพ่อแม่ ที่ทำสวนทุเรียนมานานกว่า 20 ปี บนเนื้อที่กว่า12 ไร่ ในพื้นที่หมู่ 10 ต.สำนักแต้ว อ.สะเดา จ.สงขลา



ด้วยการนำภูมิปัญญาของพ่อ ผสมกับประสบการณ์ที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง มาผลิตทุเรียนคุณภาพ เน้นด้านการตลาด หาช่องทางในการกระจายผลผลิตให้เป็นที่รู้จักให้มากขึ้น ใช้ช่องทางการขายแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและมากกว่าเดิม

สำหรับทุเรียนที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่งในสวน คือทุเรียนพันธุ์ พวงมณี มีทั้งหมด 30 ต้น ส่วนที่เหลือเป็นหมอนทอง 40 ต้น ชะนี 10 ต้น ก้านยาว 10 ต้น ผสมผสานด้วยมังคุด 40 ต้น และมีเงาะลองกองบางส่วนปลูกแซมเต็มพื้นที่ ทั้งหมด 12 ไร่และกำลังขยายเพิ่มอีก 5 ไร่

นายสุเชาว์ บอกว่า ราคาทุเรียนพวงมณีที่สวนขายกิโลกรัมละ 100-120 บาท ทุเรียนหมอนทอง กิโลกรัมละ 120-130 บาท ก้านยาว 200-300 บาท และทุเรียนพวงมณีกวน กิโลกรัมละ 400 บาท โดยเฉพาะทุเรียนพวงมณี ได้แกะขายใส่กล่อง กิโลกรัมละ 500 บาท ทำเป็นกล่องครึ่งกิโลกรัมกล่องละ 250 บาท

ในช่วงนี้มีลูกค้าสั่งเข้ามาจำนวนมาก ผลผลิตที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการ จึงต้องจัดคิว ซึ่งหลัก ๆ ลูกค้าจะสั่งทางFace book และ Line บางส่วนอาจมาซื้อที่สวน โดยก่อนหน้านี้ทุเรียนที่สวนจะขายให้กับพ่อค้าคนกลาง ทำให้ราคาเป็นไปตามท้องตลาด แต่เมื่อหันมาขายผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://money.sanook.com/499677/

รัฐบาลเปิด 3 หลักสูตร ปั้นเถ้าแก่น้อยมืออาชีพ


รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรมสร้างอาชีพ จำนวน 3 หลักสูตร ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ว่างงาน เพื่อเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพ ให้สามารถเป็นเถ้าแก่น้อยจากการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ได้แก่


1. หลักสูตรร้านอาหารมืออาชีพ ระหว่างวันที่ 9 - 10 ก.พ. 61 ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

2. หลักสูตรร้านเสริมสวยมืออาชีพ ระหว่างวันที่ 21 - 22 ก.พ. 61 ณ ห้องประชุมฉลาดลบเลอสรรค์ ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

3. หลักสูตรแม่บ้านมืออาชีพ ระหว่างวันที่ 5 - 7 มี.ค. 61 ณ ห้องประชุมสนม สุทธิพิทักษ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

โดยการอบรมทั้ง 3 หลักสูตร จะช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น นำไปสู่การมีอาชีพอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่าตลอดทั้งโครงการจะมีผู้เข้าร่วมการอบรมไม่น้อยกว่า 600 ราย และเมื่อสำเร็จหลักสูตรแล้วจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 25 ล้านบาท



ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

โทร. 0-2547-5970 / สายด่วน 1570

อีเมล association3187@gmail.com

หรือสมัครทางออนไลน์ https://goo.gl/forms/6sKitPduIYc1GBwl1

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : ไทยคู่ฟ้า

ภาพ : ไทยคู่ฟ้า

สุดเจ๋ง!! ปลูกมันหวานสายพันธุ์ต่างประเทศ โกยรายได้เดือนละ 2 แสนบาท

หนุ่มชาวไร่โคราชรื้อไร่มันสำปะหลังปลูกมันหวานสายพันธุ์ต่างประเทศ สร้างรายได้กว่า 2 แสนบาทต่อเดือน

หลังจากที่สถานการณ์มันสำปะหลังในประเทศตกต่ำอย่างหนักมานานหลายปี นายวิวัฒน์ ศรีกระสังข์ อายุ 32 ปี เกษตรกรบ้านประชาสันต์ หมู่ที่ 10 ต.เสิงสาง อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ตัดสินใจรื้อไร่มันสำปะหลังของตนเองที่มีอยู่เกือบ50 ไร่ หันไปปลูกมันเทศแทนมันสำปะหลัง เนื่องจากมองเห็นว่ามีราคาที่ดีกว่ามันสำปะหลังอีกทั้งยังใช้ระยะเวลาในการเพาะปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวเพียงแค่ 4 เดือน ในขณะที่มันสำปะหลังต้องใช้ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวครั้งเดียวต่อปี แต่ก็ยังต้องมาประสบกับปัญหาราคาที่ไม่แน่นอนจึงหันมาทดลองปลูกมันหวานสายพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งกำลังเริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดและมีราคาสูงกว่ามันเทศธรรมดาหลาย 10 เท่าตัว พร้อมทั้งหาตลาดด้วยตัวเองและใช้โอกาสจากการที่เข้าร่วมโครงการต่างๆของรัฐ พัฒนาต่อยอดจนทุกวันนี้สามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายมันหวานได้เดือนละกว่า 2 แสนบาท


นายวิวัฒน์ฯ กล่าวว่า มันหวานสายพันธุ์ต่างประเทศนั้นมีหลากหลายชนิด ทั้งพันธุ์สีส้ม เบนิฮารุกะ โอกินาว่า สายน้ำผึ้งอินโด และฮาวาย ราคาก็จะมีเริ่มต้นตั้งแค่กิโลกรัมละ 60 บาทไปจนถึง 350 บาทเลยทีเดียว โดยพันธุ์ที่มีราคาสูงสุดคือ สายพันธุ์ฮาวายกิโลกรัมละ 350 บาท ขณะที่มันเทศธรรมดาราคาขณะนี้จะอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 6 – 10 บาท แต่ราคานี้ก็ถือว่าดีกว่ามันสำปะหลังที่ราคาตกอยู่เพียงกิโลกรัมละหนึ่งบาทเศษเท่านั้น

ในขณะนี้กระแสมันหวานกำลังมาแรงเป็นที่นิยมชื่นชอบในหมู่ลูกค้าผู้ที่รักในสุขภาพจะนิยมรับประทานมากเป็นพิเศษ อีกทั้งรสชาติที่หวานหอมจึงทำให้เริ่มมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ตนเองกำลังอยู่ในระหว่างการรวมกลุ่มผู้ผลิต และเจรจากับทางตลาดระดับบน คือในส่วนของห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อต่อยอดการตลาดให้มากยิ่งขึ้นด้วย

ดูต้นฉบับได้ที่ https://money.sanook.com/517213/

เกษตรกรเมืองตรังปลูก ‘กะหล่ำปลี’ ปลอดสารพิษสร้างรายได้นับแสน

เกษตรกรตรังปลูก ‘กะหล่ำปลี’ ใช้พื้นที่แค่ไร่เศษสร้างรายได้นับแสนบาท เน้นปลูกผักหมุนเวียนแบบผสมผสาน สร้างรายได้ตลอดทั้งปี

เดินทางไปที่ ‘สวนผักสุขรัก‘ ตั้งอยู่เลขที่ 92 หมู่ 3 ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง นางกัลยารัตน์ หมุนเวียน Young Smart Farmer ต้นแบบจังหวัดตรัง และครอบครัว ปลูกแปลงผักกะหล่ำปลี กะหล่ำดอกและผักใบเขียวมากมาย บนพื้นที่ไร่เศษ โดยเฉพาะกะหล่ำปลีในช่วงนี้จะตัดส่งขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ กิโลกรัมละ 50 บาท และกะหล่ำดอกก็กำลังออกดอกรอเก็บขายเช่นกัน


 ด้านนางกัลยารัตน์ หมุนเวียน กล่าวว่า ตนเอง ไม่สามารถทานผักที่ซื้อมาจากท้องตลาดได้ เนื่องจากแพ้สารพิษที่ตกค้างในพืชผัก เลยต้องปลูกผักทานเอง แรกๆก็จะปลูกผักที่โตเร็วดูแลง่ายอย่างเช่น ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง แตงกวา เมื่อมีผลผลิตมากก็นำออกขายให้กับเพื่อนบ้าน

แต่ด้วยความรักและสนใจในผักเมืองเหนือที่มีความสวยงามอย่างกล่ำปลีที่มีลักษณะเหมือนดอกกุหลาบ ตนเองเลยให้เพื่อนที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ส่งเมล็ดพันธุ์มาทดลองปลูกปีแรก ไม่ประสบความสำเร็จ เลยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและทดลองปลูกใหม่จนประสบผลสำเร็จ และสามารถนำออกจำหน่ายได้
นอกจากนี้ที่สวนผักสุขรัก จะปลูกกะหล่ำปลี กะหล่ำดอกแล้วยังมีคะน้าหอม ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว ผักบุ้งฯ โดยจะปลูกหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล และต้องศึกษาว่าในช่วงอายุผักกี่วันที่เดือนถึงจะเก็บเกี่ยวได้ และจะได้ผลดีต้องปลูกช่วงฤดูกาลไหน

ทั้งนี้ สวนสุขรัก มีวิธีการดูแลและกำจัดศัตรูพืชด้วยระบบธรรมชาติด้วยการปล่อยให้หญ้าขึ้นในแปลงผักเพราะแมลงจะมากินดอกหญ้า ใช้น้ำหมักชีวภาพในการกำจัดศัตรูพืช และเป็นการให้ปุ๋ยไปในตัวด้วย นอกจากนี้จะใช้กาวดักแมลงแทนการใช้สารเคมีฉีดพ่น ในปีหนึ่งๆ ตนและครอบครัวจะมีรายได้จากการขายผักได้มากกว่า ปีละ 400,000 – 500,000 บาท เลยทีเดียว

ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักๆจะเป็นโรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงพยาบาล เพราะเป็นผักปลดสารพิษ 100% ผักที่ปลูกในสวนสุขรักได้รับรองมาตรฐาน GAP จากกรมวิชาการเกษตรเป็นที่เรียบร้อย


เลี้ยง ‘กุ้งเครย์ฟิช’ ง่ายๆ รายได้เฉียดครึ่งล้านต่อเดือน สร้างรายได้หลักแสน

       ขอพาทุกท่านไปพบกับคุณจรรยวรรธน์ หอมจันทร์ หรือคุณเหม็ง เจ้าของศูนย์การเรียนรู้สำหรับมือใหม่ กุ้งเครฟิชฟาร์มคุณชาย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จากมนุษย์เงินเดือนสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต หันมาทำฟาร์ม ‘กุ้งเครย์ฟิช‘ เต็มรูปแบบจนประสบความสำเร็จทำเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ที่สนใจอยากเลี้ยง


โดยคุณเหม็ง เปิดเผยว่าช่วงก่อนเคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ซึ่งในช่วงระหว่างที่ทำงานประจำก็เริ่มศึกษาและเลี้ยงกุ้งก้ามแดงไปด้วย จนสามารถนำไปขายได้ สร้างรายได้เสริมในช่วงระหว่างทำงานประจำได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยความอยากรู้ ประกอบกับเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระแสการเลี้ยง ‘กุ้งเครย์ฟิช’ เริ่มมาแรง จึงตระเวนศึกษาจากตามฟาร์มต่างๆ
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อกุ้งเครย์ฟิชสายพันธุ์โกสในขนาดไซส์ลงเดินมาทดลองเลี้ยง และซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาด้วย ซึ่งก็หมดเงินไปเกือบ 1 แสนบาทเลยทีเดียว โดยใช้เพียงแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดนำมาประดิษฐ์เป็นภาชนะเลี้ยง ภายหลังจากการทดลองเลี้ยงกุ้งให้ผลผลิตออกไข่เป็นจำนวนมากและเลี้ยงจนลงเดินได้ จึงเริ่มหาช่องทางการตลาดเพื่อระบายผลผลิต ซึ่งรายได้จากการขายในช่วงแรกเป็นที่น่าพอใจ จนในที่สุดก็ตัดสินใจออกจากงานเพื่อมุ่งไปที่การทำฟาร์มกุ้งเครย์ฟิชอย่างเต็มตัว


การเลี้ยง ‘กุ้งเครย์ฟิช’ จะคล้ายๆกับการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง แต่สภาพน้ำต้องมีความสะอาดมากกว่า และมีการควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะ ซึ่งกุ้งเครย์ฟิชจะชอบอุณหภูมิไม่เกิน 29 องศาเซลเซียส ในการเลี้ยงควรจะมีออกซิเจนและมีตัวกรองภายในตู้ที่เลี้ยง เพื่อดูดเศษอาหารหรือสิ่งสกปรกต่างๆ ภายในตู้เลี้ยง สำหรับน้ำที่ใช้จะเป็นน้ำประปาก็ได้แล้วแต่ความสะดวก แต่ควรพักน้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 วันเพื่อให้คลอรีนระเหย
ที่ฟาร์มของคุณเหม็งจะใช้หินหรือกรวดโรยไว้ก้นตู้เลี้ยง โดยโรยไว้บางๆ เพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด สาเหตุที่ต้องโรยหินกรวดไว้ เนื่องจากกุ้งเครย์ฟิชด้วยลักษณะนิสัยจะชอบเดิน อีกทั้งยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมส่งผลต่อสีสันของตัวกุ้งอีกด้วย และควรมีสาหร่ายหางกระรอก รวมถึงวัสดุต่างๆ ไว้เป็นที่หลบภัยของกุ้งในช่วงที่กุ้งลอกคราบ
ในส่วนของอัตราการเลี้ยงกุ้ง ขนาดตู้ 24 นิ้วสามารถปล่อยกุ้งไซส์ลงเดินได้ประมาณ 50 ตัว เมื่อขนาดกุ้งประมาณ 1 นิ้ว ก็จะเริ่มแยกเลี้ยงเป็น 10 ตัว เพื่อลดความเสียหายจากการกัดกินกันเอง เรื่องอาหารที่ฟาร์มจะให้ 3 แบบสลับกันไปในแต่ละวัน มีทั้งอาหารเม็ด หนอนแดง และกุ้งฝอยต้ม ซึ่งแต่ละชนิดก็จะให้สารอาหารที่แตกต่างกันออกไป โดยจะให้วันละ 1 ครั้ง และควรให้อาหารตามความเหมาะสม เนื่องจากกุ้งแต่ละตัวจะกินอาหารไม่เท่ากัน การให้อาหารที่พอเหมาะจะส่งผลดีทำให้น้ำไม่เสียเร็ว
‘กุ้งเครย์ฟิช’ ในขนาด 3 นิ้วก็สามารถเริ่มจับคู่ผสมพันธุ์ได้แล้ว เรื่องการดูเพศจะเหมือนกับการดูเพศของกุ้งก้ามแดง สำหรับเคล็ดลับของที่ฟาร์มในการจับผสมพันธุ์จะใช้ภาชนะ โดยใช้ขวดน้ำเปล่าขนาด 5 ลิตรมาตัดครึ่ง แล้วนำพ่อแม่พันธุ์ใส่ไว้รวมกัน ซึ่งจะทำให้พ่อแม่พันธุ์ใกล้ชิดง่ายขึ้น ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นการเสร็จขั้นตอนการจับคู่

ต่อมาจะใช้เวลา 7-30 วันกุ้งตัวเมียก็จะผลิตไข่ ทั้งนี้ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสภาพของพ่อแม่พันธุ์ด้วยเช่นกัน จากนั้นพอเริ่มมีไข่ควรจับกุ้งตัวเมียเลี้ยงแยกไว้ โดยใช้น้ำสะอาดและควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 20-24 องศาเซลเซียส ในช่วง 5 วันแรกควรสังเกตไข่ของกุ้งจะต้องไม่มีรา หากตรวจพบควรนำออกทันที เนื่องจากหากปล่อยไว้ไข่กุ้งอาจจะเสียหายทั้งหมด หลังจากนี้ก็ใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 20-30 วัน ก็จะได้กุ้งลงเดินแล้ว ไข่ 1 ชุดจะได้ประมาณ 300-500 ตัว
ทั้งนี้ที่ฟาร์มของคุณเหม็งจะเพาะเลี้ยงไว้ 2 แบบคือ โกสด่าง และโกสสีเต็ม ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไปถ้าเป็นกุ้งโกสสีด่าง ไซส์ลงเดินราคาจะอยู่ที่ 600-1,200 บาท หากตัวกุ้งมีความขาวใสราคาก็จะขยับแพงขึ้น ในส่วนของโกสแบบสีเต็มราคาก็จะถูกลงมา ไซส์ลงเดินจะอยู่ที่ 250-300 บาท ส่วนราคาไซส์พ่อแม่พันธุ์โกสด่าง จะอยู่ที่ 30,000-75,000 บาท โกสสีเต็มจะอยู่ที่ตัวละ 2,500-3,500 บาท ส่วนพ่อพันธุ์กุ้งโกสด่างที่ฟาร์มเลี้ยงไว้เพื่อเพาะเอาไข่ สนนราคาอยู่ที่ตัวละ 150,000 บาท ส่วนแม่พันธุ์ราคาอยู่ที่ 50,000 บาท
ช่องทางการตลาดส่วนใหญ่มาจากการเปิดเพจเฟซบุ๊กของตนเอง และการเข้าร่วมกลุ่มไลฟ์สดประมูลกุ้งในเฟซบุ๊ก ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่องทางที่ทำให้ลูกค้าได้เห็นตัวกุ้งจริงๆ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ปัจจุบันรายได้จากการขายกุ้งเครย์ฟิชประมาณ 300,000-400,000 บาท ต่อเดือนเลยทีเดียว
คุณเหม็ง กล่าวด้วยว่าการทำฟาร์มกุ้งเครย์ฟิช ณ ปัจจุบันยังไปได้สวย แต่ต้องหาข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ เนื่องจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าแต่ละช่วงจะแตกต่างกัน หากเราศึกษาหาข้อมูลได้รวดเร็วก็จะสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ไม่ยาก







ดูต้นฉบับได้ที่ https://news.mthai.com/economy-news/555648.html